เทคนิคการเขียนรายงานการวิจัย การเผยแพร่ตีพิมพ์ผลงานวิจัย ในวารสารและการประชุมวิชาการ ตัวอย่าง Paper

หลังจากที่นักศึกษาได้ทำวิจัย (thesis (วิทยานิพนธ์ ป.โท) หรือ dissertation (ดุษฎีนิพนธ์ ป.เอก)) เสร็จแล้ว นักศึกษาจะต้องเผยแพร่ผลงานวิจัย โดยการตีพิมพ์ผลงานการวิจัย หรือเผยแพร่ผลงานการวิจัย ในรูปแบบต่างๆ (ทั้งนี้ ตามแต่มหาวิทยาลัยจะเป็นผู้กำหนด) รวมถึงคุณครู นักวิจัย หรือนักการศึกษาที่ทำวิจัย แล้วจะต้องมีการเผยแพร่ผลงานการวิจัย ทั้งนี้การเผยแพร่ผลงานวิจัย ตามสากลนิยมสามารถทำได้สองรูปแบบ ซึ่งมีจุดประสงค์และระดับความยากและง่ายจะแตกต่างกัน ดังนี้

1. การเผยแพร่ในที่ประชุมวิชาการระดับชาติหรือนานาชาติ (conference) ซึ่งมักเป็นการนำผลงานวิจัยที่เพิ่งทำเสร็จมาเขียนเป็นบทความแล้วส่งให้บรรณาธิการของที่ประชุมวิชาการพิจารณา หลังจากนั้นจึงมีการส่งผลต่อผ่านขั้นตอนพิชญพิจารณ์ เพื่อการประเมินคุณค่าและความถูกต้อง เมื่ออนุมัติผ่านบทความก็จะได้รับการตีพิมพ์รวมเล่มในเอกสารประกอบการประชุมวิชาการ (proceedings) ซึ่งในการประชุมผู้วิจัยจะต้องมีหน้าที่นำเสนอบทความของตนเอง โดยการนำเสนออาจจะอยู่ในรูปโปสเตอร์หรือแบบปากเปล่า

                ข้อดีของการเผยแพร่ในการประชุมวิชาการ ก็คือ ผลงานวิจัยจะได้รับการเผยแพร่อย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมีเวทีลักษณะนี้จำนวนมาก โอกาสในการนำเสนอจึงมีมาก นอกจากนี้ ที่ประชุมวิชาการยังเป็นเวทีแลกเปลี่ยน ความคิดเห็นกับบรรดานักวิจัยท่านอื่น จึงมีประโยชน์มากสำหรับการส่งบทความที่ยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ออกไปชิมลาง เพื่อนำผลตอบรับกลับมาปรับปรุงให้ดีขึ้นสาหรับการตีพิมพ์อย่างสมบูรณ์ต่อไป นอกจากนี้ประโยชน์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ การสร้างชื่อเสียงให้นักวิจัยอื่นรู้จักและสร้างเครือข่ายกับนักวิจัยในสาขาเดียวกัน

                อย่างไรก็ตาม เนื่องจากจำนวนการจัดประชุมวิชาการซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากในหลายปีที่ผ่านมาส่งผลให้คุณภาพในภาพรวมตกต่ำลงไปด้วย งานประชุมวิชาการหลายแห่งเป็นธุรกิจที่จัดขึ้นเพียงหวังผลกำไร หรือเป็นเพียงการจัดเพื่อให้บรรดาผู้จัดงานและครอบครัวได้ไปเที่ยวฟรี หลายมหาวิทยาลัยเริ่มมีการจัดประชุมตามกระแสนิยม ทาให้ขาดคุณภาพในแง่การประเมินบทความวิชาการ และขาดความเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้อย่างจริงจัง อาทิ กลุ่มบุคคล สมาคมวิชาชีพ มหาวิทยาลัยที่จัดตลอดจนสาขาที่ประชุมวิชาการแต่ละแห่ง ควรเลือกที่มีความเกี่ยวข้องหรือความเชี่ยวชาญตรงกับงานของนักวิจัย

2. การเผยแพร่ผลงานในวารสารวิชาการ ช่องทางการเผยแพร่ในรูปแบบนี้จัดได้ว่าเป็นทางการและได้รับการยอมรับมากที่สุดในวงการวิชาการโดยทั่วไป สำหรับขั้นตอนที่เป็นทางการเพื่อเผยแพร่ก็จะเริ่มจากการส่งต้นฉบับของบทความพร้อมทั้งจดหมายนำ (Coverletter) ถึงบรรณาธิการเพื่อเกริ่นนำการค้นพบหรือความสำคัญของงาน ปัจจุบันวารสารหลายฉบับได้มีเว็บไซต์เป็นของตัวเองและผู้เขียนสามารถลงทะเบียนเข้าเป็นผู้ใช้งานและทำการส่งเอกสารต้นฉบับเพื่อตีพิมพ์ รวมไปถึงการติดตามผลทางออนไลน์ได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องส่งทางไปรษณีย์เหมือนในอดีต สาหรับผลของการพิจารณาจะเป็นไปได้ 3 กรณี ดังนี้
               – การตอบรับให้ตีพิมพ์ (accept)
               – การส่งกลับมาแก้ไข (revise) กรณีนี้ มักจะมีกำหนดระยะเวลาให้ส่งกลับคืนด้วย อาจจะแนะให้ทำการทดลองเพิ่ม ให้แก้ไขต้นฉบับและ/หรือให้ตอบคำถามต่างๆ การแก้ไขอาจต้องทำ 2-3 รอบ ซึ่งเมื่อแก้ไขแล้วมีโอกาสได้รับการตีพิมพ์มากกว่า 50%
               – การปฏิเสธ (reject) กรณีนี้ นักวิจัยอาจจะนำมาแก้ไขตามที่ผู้อ่านพิจารณาผลงาน (reviewer) แนะนำ ดำเนินการปรับรูปแบบและส่งไปวารสารอื่น
               เมื่อได้รับการตอบให้ตีพิมพ์ (accept) ทางวารสารจะจัดทำต้นฉบับที่เหมือนจริงในวารสารส่งให้นักวิจัยตรวจทานอีกครั้ง เพื่อป้องกันความผิดพลาด นักวิจัยต้องรีบดำเนินการตรวจแก้ไขและส่งกลับคืนอย่างรวดเร็ว
               อย่างไรก็ตาม  ในปัจจุบันมีวารสารวิชาการจำนวนมากที่เป็นสนามให้นักวิจัยตีพิมพ์ผลงานวิจัย แต่คุณภาพและมาตรฐานของวารสารแต่ละเล่มจะแตกต่างกันไป มีตั้งแต่ระดับง่ายจนถึงยากมาก และใช้เวลาในการพิจารณาหลายเดือนถึงเป็นปี เปรียบเสมือนการประกวดนางงาม ผู้ประกวดสามารถเลือกเวทีได้ตั้งแต่ประเภทเทพีเงาะ มังคุด ไปจนกระทั่งถึงเวทีระดับนางสาวไทยหรือนางงามจักรวาล วิธีการสังเกตคุณภาพของวารสารก็มักดูที่ความเก่าแก่ สมาคมซึ่งเป็นผู้ดูแลการจัดพิมพ์ และอีกวิธีหนึ่งคือการพิจารณาจากดัชนีอ้างอิงของวารสารแต่ละฉบับว่าอยู่ในฐานข้อมูลใด อย่างไรก็ดีปัจจุบันมีฐานข้อมูลอยู่เป็นจำนวนมากแยกกันไปตามบริษัทหรือหน่วยงานที่ให้บริการแต่ฐานข้อมูลซึ่งเป็นที่นิยมของนักวิจัยในปัจจุบันก็คือ ฐานข้อมูลที่มีการคิดค่าดัชนีอ้างอิง (impact factor) ให้กับวารสารฐานข้อมูลที่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายและมีดัชนีอ้างอิง (จานวนครั้งเฉลี่ยของการอ้างอิงของบทความที่ตีพิมพ์ในแต่ละวารสาร) มีอยู่หลายแห่ง บางข้อมูลที่เป็นของคนไทยคือ ดัชนีอ้างอิง Thailand Citation Index (TCI) ซึ่งดูแลโดยศูนย์อ้างอิงดัชนีวารสารไทยส่วนฐานข้อมูลของต่างประเทศมีหลายแห่ง ได้แก่ ดัชนีอ้างอิง SCImago ซึ่งอยู่ในฐานข้อมูล Scopus ของบริษัท Elsevier และต้นตำหรับคือ ดัชนีอ้างอิง ISI ซึ่งเป็นของบริษัทยักใหญ่ผู้ให้บริการด้านข้อมูล คือ Thomson Reuters อย่างไรก็ตามดัชนีชี้วัดที่นักวิชาการพยายามสร้างขึ้นมาเหล่านี้ก็เพื่อจัดลำดับคุณภาพของวารสารเท่านั้น แต่ยังขาดความสมบูรณ์และมีช่องโหว่อยู่มาก ฉะนั้น จึงไม่ควรไปยึดติดมากจนเกินไป

เทคนิคการเขียนต้นฉบับ บทความรายงานการวิจัย (Paper)
               1. เริ่มต้นจากการสรุปรวบรวมผลงานวิจัยและการเขียนคำอธิบาย (legend) ของรูป ไดอะแกรม ตาราง กราฟ ฯลฯ
               2. ต่อด้วยการเขียนส่วนวัสดุอุปกรณ์และวิธีการ (material and method)
               3. ต่อด้วยการเขียนส่วนผลการวิจัย/ทดลอง (result) ซึ่งอธิบายผลจากรูป ไดอะแกรม ตาราง กราฟ ฯลฯ ที่จัดเรียงเนื้อหาไว้ตามลำดับ
               4. กลับมาเขียนบทนำ (introduction) อาจจะนำมาจากภูมิหลังที่มาของปัญหา/ความสำคัญและเหตุผล (background/significance and rationale) ของโครงการวิจัย ซึ่งปรับปรุงให้ครบถ้วนและทันสมัย
               5. เขียนส่วนวิจารณ์ผล (discussion) และสรุป (conclusion)
               6. เขียนบทคัดย่อ (abstract) ซึ่งต้องสั้นและกระชับ
               7. จัดทำเอกสารอ้างอิง (reference) และส่วนประกอบอื่นๆ ซึ่งจะได้เป็นต้นฉบับ (manuscript) ออกมา
            นอกจากนี้สิ่งอื่นๆ ที่จะต้องคำนึงในการเขียนเพื่อให้ได้รับการตีพิมพ์ โดยเฉพาะหากต้องการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารระดับนานาชาติหรือในเวทีระดับโลก ผลการวิจัยและการเขียนจะต้องมีลักษณะดังนี้
               1. งานวิจัยที่ทำมีความคิดริเริ่ม (originality) และมีความแปลกใหม่ (novelty)
               2. งานวิจัยที่ทำมีคุณภาพและผลการวิจัยดี
               3. ตั้งชื่อเรื่อง (title) ได้ตรงกับผลงานและดึงดูดใจบรรณาธิการ (editor) และผู้อ่านพิจารณา (reviewer)
               4. คุณภาพของผลซึ่งแสดงโดยรูป ไดอะแกรม ตาราง กราฟ ฯลฯ ชัดเจนสวยงามถูกต้องและน่าเชื่อถือ เพราะเป็นส่วนที่สำคัญที่จะมองเห็นได้ง่าย
               5. เตรียมต้นฉบับตรงตามคำแนะนา (instruction for author) ของวารสาร
               6. เขียนในแต่ละส่วนได้อย่างชัดเจน (clear) กระชับ (concise) หนักแน่น (solid) เข้มข้น (strong) เรียงลำดับอย่างถูกต้องและสมเหตุผล (right and logical order)
               7. เนื้อหาสัมพันธ์ กลมกลืนไปด้วยกัน (coherent) และอ่านแล้วลื่นไหล (smooth)
               8. อ่านแล้วได้ความรู้ใหม่ (new knowledge) ทฤษฎีใหม่ (new theory) มโนทัศน์หรือความคิดใหม่ (new concept or idea)

ตัวอย่างการเขียน Paper บทความรายงานการวิจัย
1. [
บทความ STS ปรมาณูเพื่อสันติ]
2. [บทความ STS อยู่ปลอดภัยกับกัมมันตภาพรังสี]
3. [บทความ STS โรงไฟฟ้านิวเคลียร์สำหรับประเทศไทย]

ขอขอบคุณ : ที่มา : http://rd.vru.ac.th/tech.pdf



Leave a Comment