[ผอ. เปิดใจ] ผอ.นารายณ์คำผงวิทยา แถลงผลงานการบริหารโรงเรียนครบ 1 ปี เรียนรู้อะไรเมื่อกลับมาเป็นผู้บริหารในถิ่นฐานที่เคยเป็นครู

ในโอกาสที่ผมปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษาในโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดกลาง ณ โรงเรียนนารายณ์คำผงวิทยา สพม.33 จังหวัดสุรินทร์ ครบ 1 ปี ในวันที่ 31 ตุลาคม 2562 (31 ตุลาคม 2561 – 31 ตุลาคม 2562) จึงขอถือโอกาสเปิดใจ บันทึกมุมมอง ความคิดที่เกิดขึ้นในรอบ 1 ปี ที่ต้องกลับมาเป็นผู้บริหารโรงเรียนในโรงเรียนที่เคยเป็นครู ตลอดจนแถลงผลงานการบริหารโรงเรียนในโอกาสครบ 1 ปีเอาไว้ เพื่อสรุปงาน ทบทวนตัวเอง และเป็นบทเรียนให้กับผู้มาภายหลังได้ศึกษา ดังนี้

ผมมาปฏิบัติราชการที่โรงเรียนนารายณ์คำผงวิทยา อย่างตั้งใจมา ซึ่งต้องขอบคุณทุกคนทุกท่านที่สนับสนุนให้ผมได้กลับมาทำงานที่โรงเรียนแห่งนี้ บนพื้นฐานที่รู้สึกว่า ตัวเองได้รับโอกาสมากมายจากพี่น้องที่สนับสนุน และผู้บริหารที่รักและเมตตาให้ได้ไปศึกษาต่อจนจบปริญญาเอก (บนความเชื่อของท่านที่ว่า ให้โอกาสผม เพื่อให้ผมสร้างโอกาสให้กับจังหวัดสุรินทร์ในอนาคต) ก็อยากจะทำอะไรเพื่อแทนคุณพี่น้องและสถานศึกษาแห่งนี้อย่างสุดจิตสุดใจ ประกอบกับก่อนผมไปเป็น ผอ. มีคนแต่งเพลงให้ รู้สึกว่าท่อนแรกของเพลงมันใหญ่เกินรับไหว คงต้องกลับมาทำให้ได้อย่างนั้น ซึ่งไม่รู้จะทำได้แค่ไหน จึงดีใจที่ได้กลับมาทำงานที่นี่ กับคนกันเองทั้งนั้น จึงพอรู้น้ำจิตน้ำใจของแต่ละคนเป็นพื้นฐานเดิม โดยตลอด 1 ปีที่ผ่านมาได้รับความร่วมมืออย่างดีปกติ แต่มีสีสันบ้างเล็กน้อยเป็นน้ำจิ้ม เหมือนจะทดสอบกำลังใจกัน เช่น น้อยใจ ผอ., บอกว่าตนเองไม่มีความสามารถในงานที่ทำ, และลาออกจากงานที่เราสนับสนุน (โรงเรียนเก่า ลาออก ไม่ให้ออก แต่ให้งานเพิ่ม, โรงเรียนนี้ ลาออก ให้ออก ไปพักกายพักใจก่อนชั่วคราว)

1 ปีมานี้ ผมคิดว่า ตัวเองติดกับดักการทำงาน คือทำงานสนุกจนละเลยเรื่องที่ต้องทำเพื่อตัวเองไป เราทำอะไรร่วมกันไปมากมาย แต่ผมยอมรับว่ามีเรื่องผิดหวังอยู่ คือ 1 ปีมานี้ เรายังไม่ได้สร้างผลงานเชิงประจักษ์ระดับชาติในระดับที่ผมพึงพอใจ แบบที่เคยทำได้ที่โรงเรียนตาเบาวิทยา ทั้งๆ ที่ผมก็ตั้งใจและมีบุคลากรเยอะกว่า ซึ่งก็ต้องพยายามกันต่อไป แต่ก็ภาคภูมิใจที่ตนเองมีส่วนร่วมอย่างสำคัญในการผลักดันจนได้รับสนามฟุตบอลหญ้าเทียมจากคิงเพาเวอร์ จนรู้สึกว่า ได้แทนคุณสถานศึกษาแห่งนี้อย่างที่ตั้งใจแล้ว

คลิก >> [ผลงานนักเรียน ครู ผู้บริหารโรงเรียนนารายณ์คำผงวิทยา ในรอบ 1 ปี]

ผมกลับมาทำงานที่บ้านครั้งนี้ ผมตั้งใจว่า (1) ทำโรงเรียนให้มีมาตรฐานสมศักดิ์ศรี เกรดพรีเมี่ยม ทั้งนักเรียน ครูและ ผอ. และผมจะภาคภูมิใจกับสถาบันแห่งนี้ตลอดไป (2) ผมจะขอมีวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ และถ้านานพอจะทำเชี่ยวชาญทันที (3) ผมจะทำบ้านสวยๆ สักหลัง (4) ผมขอมีกิจการเล็ก ๆ ไว้ดูแลครอบครัว เมื่อภารกิจทั้ง 4 ประการบริบูรณ์ ก็คงจะได้ขยับขยายกันต่อไป ซึ่งในความเป็นจริง 1 ปีมานี้ก็รู้สึกไม่ลำบากอะไร คงไม่ต้องดิ้นรนอะไร เดินทางไกลก็เปลืองค่าน้ำมันเปล่าๆ ทำงานใกล้บ้านก็ดี ได้ดูแลพ่อแม่ด้วย “โนนนารายณ์-รัตนบุรี” อะไรประมาณนี้ ก็พอแล้ว

การทำงานในโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดกลาง ผมไม่ค่อยเหนื่อยในการที่จะต้องลงไปร่วมปฏิบัติ เพราะครูเขาจะทำงานเป็นทีมเข้าขากันดีอยู่แล้ว ซึ่งต่างจากโรงเรียนขนาดเล็กที่จะต้องร่วมด้วยช่วยกัน งานหลักของผม คือ การวางแผนและร่วมกันวางแผน แอบดูอยู่ห่างๆ ติดตาม ให้กำลังใจ ชื่นชมและกดดันบ้างบางเวลา (แต่ไม่ค่อยได้ผล จนคิดไปว่า เราอ่อนไปป่าว) แล้วไปทำหน้าเข้มๆ ตอนเปิดงาน อะไรประมาณนี้ และผมอาจจะ “ตั้งใจมาก และคาดหวังสูง” ไปว่าทุกอย่าง (ครู บุคลากรสนับสนุนและเด็กนักเรียน) น่าจะทำ “สิ่งที่เป็นพื้นฐาน ที่ควรเป็นไป” ได้ดีกว่านี้ แต่ก็เหมือนจะไม่ได้ดั่งใจ จนบางครั้งก็หัวเสียอยู่บ้าง ได้แต่คิดว่า เท่านี้ก็ดีแล้วล่ะ ปลอบใจตัวเองไป กล่าวอย่างนี้ก็ไม่ใช่ว่า ใช้ไม่ได้ทั้งหมด เพราะหลายอย่าง (ครู บุคลากรสนับสนุนและเด็กนักเรียน) เราก็ทำได้ดีมาก แบบที่ไม่เคยทำได้มาก่อน และมีแนวโน้มพัฒนาขึ้น สำเร็จมากขึ้นอย่างน่าพอใจ ก็ขอบคุณมากเช่นกัน

ความเปลี่ยนแปลงหนึ่งที่ผมไม่ชอบคือ ตั้งแต่ผมเข้ามาเป็น ผู้บริหารที่นี่ ผมรู้สึกว่า ผมไม่ได้รับการให้กำลังใจจากคนในองค์กรสักเท่าไหร่ เมื่อเปรียบเทียบกับ 2 ปีที่ผมจากไป ช่วงนั้นผมยังได้รับคำกำลังใจ คำแหย่คำหยอกเย้า พอเป็นสีสัน แต่เมื่อมาที่นี่ ไกลเป็นใกล้ ใกล้เป็นไกล มีแต่คนไกลกันเท่านั้น ที่หล่อเลี้ยงหัวใจกันได้ นี่คือ ความบอบช้ำในหัวใจน้อยๆ ของ ผอ.โรงเรียน ที่ยากจะมีคนเข้าใจ … ยังดีที่คุณครูและแม่บ้านจากโรงเรียนเดิมยังคิดถึงให้กำลังใจมาบ้าง ก็ขอบคุณมาก

มาถึงจุดนี้ ถามว่ามีความสุขไหม … ก็คิดว่ามีความสุข ที่ได้ทำอะไรใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ ในโรงเรียนที่รู้สึกว่า “นี่คือบ้านของเรา นี่คือลูกหลานของเรา ถ้าทำให้ดีขึ้นในระดับที่พึงพอใจไม่ได้ ก็ไม่คู่ควรกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้” และถ้าสิ่งที่ทำตอบโจทย์ความต้องการในชีวิตของตนเองอยู่บ้าง ตราบเท่าที่ยังไม่บรรลุความตั้งใจที่มี ระหว่างการเดินทางก็มีความสุขครับ โดยพยายามสร้างสมดุลทุกส่วนให้ก้าวไปพร้อมกันอย่างดีที่สุด ทั้งความก้าวหน้าในงาน สุขภาพกายใจ ฐานะทางเศรษฐกิจ การศึกษาของลูกและความสุขของคนในครอบครัว

ผมยังยืนยันข้อดีและความตั้งใจของการเข้ามาเป็นผู้บริหารโรงเรียนว่า ตอนผมเป็นครู ผมทำงานเพื่อเด็กเพียงลำพังคนเดียว หรืออาจมีคนอื่นช่วยบ้างอีก 1-2 คน แต่การเป็นผู้บริหาร จะมีครู (ที่รักและศรัทธาในวิชาชีพครู) ช่วยผมทำงานเพื่อเด็กได้หลายคน หลายกลุ่มเป้าหมาย ทั้งดนตรี กีฬา ศิลปะ และวิชาการ ซึ่งใครที่ทำงานกับผมแล้ว ไม่สามารถแสดงศักยภาพของตนเองได้ คนคนนั้นต้องพิจารณาตัวเองว่า ผิดไหมที่มาทำงานเป็นครู ผมอาจเป็น ผอ.ที่ไม่โอเคนัก แต่ผมเป็นครูที่สุดยอดมากคนหนึ่ง ผมทำได้ คนอื่นทำไม่ได้ ในฐานะหัวหน้า ผมก็เศร้ากับคนคนนั้นอยู่นะ ที่ไม่สามารถค้นพบของดีของตนเองได้

ท้ายที่สุด ผมก็ไม่ใส่ใจหรอกว่า เพื่อนร่วมงานของผมนั้นคิดกับผมอย่างไร (แต่ถ้าชัดชัดแบบเสียหาย ก็อาจจะต้องคุยกันหน่อย) เพราะเราก็ทำงานตามบทบาทและหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุดเพื่อนักเรียน สิ่งที่จะได้รับก็คือ win-win-win คือ ทุกคนชนะ ทุกคนสำเร็จ เด็กก้าวหน้า ครูก้าวหน้า ผอ.ก็ก้าวหน้า ถ้าผิดจากนี้ แสดงว่า ไม่ใครก็ใครกำลังสร้างปัญหาให้กับระบบ คนที่เคยศรัทธาอาจจะหมดศรัทธา คนที่ไม่รักอาจจะรักและสนับสนุนกันได้ และหวังว่าปีที่ 2 ของผม จะมีความสุขและความสำเร็จมากกว่า 1 ปีที่ผ่านมา
อย่าลืมให้กำลังใจและติดตามกันต่อไปครับ

คลิก >> [สรุปการไปราชการและปฏิบัติราชการ ผอ.นารายณ์คำผงวิทยา ปีการศึกษา 2561]
คลิก >> [สรุปการไปราชการและปฏิบัติราชการ ผอ.นารายณ์คำผงวิทยา ปีการศึกษา 2562]



Leave a Comment