[ผอ. เปิดใจ] ผอ.วิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย บุรีรัมย์ แถลงผลงานการบริหารโรงเรียนครบ 1 ปี เรียนรู้อะไร ในรั้ว Science High School

ในโอกาสที่ผมปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษาในโรงเรียนมัธยมศึกษา ขนาดใหญ่พิเศษ ณ โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย บุรีรัมย์ สพม. บุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ ครบ 1 ปี ในวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 (31 พฤษภาคม 2565 – 30 พฤษภาคม 2566) จึงขอถือโอกาสเปิดใจ บันทึกมุมมอง ความคิดที่เกิดขึ้นในรอบ 1 ปี ที่มาเป็นผู้บริหารโรงเรียนในโรงเรียนประจำ วัตถุประสงค์พิเศษ ตลอดจนแถลงผลงานการบริหารโรงเรียนในโอกาสครบ 1 ปีเอาไว้ เพื่อสรุปงาน ทบทวนตัวเอง และเป็นบทเรียนให้กับผู้มาภายหลังได้ศึกษา (ก่อนเริ่มต้นใหม่พร้อมกับการเปิดเทอมใหม่ ณ วันที่ 18 พฤษภาคม 2566) ดังนี้

ผมมาปฏิบัติราชการที่โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย บุรีรัมย์ อย่างตั้งใจมา ซึ่งกว่าจะมาได้ก็ใช้เวลาพิจารณาพอสมควร สิ่งที่ผมต้องขอบคุณไว้เบื้องต้น คือ การได้รับการสนับสนุนจากหลายท่านอย่างสุจริตใจ และขอบคุณผู้บังคับบัญชาและพี่เพื่อนน้องผู้บริหารโรงเรียนเกือบทุกโรงเรียนจาก สพม.สุรินทร์ ที่มาให้กำลังใจในวันที่เดินทางมาส่งผม การปฏิบัติงานที่โรงเรียนแห่งนี้ มีความพร้อมแทบทุกด้าน ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน วัสดุอุปกรณ์ บุคลากร งบประมาณและผู้เรียน และผลลัพธ์ความสำเร็จของผู้เรียนมีจำนวนมากทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ แต่ที่ยังต้องเติมเต็มคือ ผลงานและความสำเร็จที่เพิ่มขึ้นของนักเรียน และความสำเร็จรายตัวของครูและบุคลากรทางการศึกษา

การทำงานในโรงเรียนนี้ ผมไม่ต้องลงไปร่วมปฏิบัติ ขอแค่มอบหมายรองผู้อำนวยการหรือผู้รับผิดชอบแบบชัดๆ ทุกอย่างจะเรียบร้อย (ซึ่งต่างจากโรงเรียนขนาดกลาง ที่บางงานต้องร่วมคิด ร่วมวางแผน แต่อาจไม่ต้องร่วมทำ และโรงเรียนขนาดเล็กที่จะต้องร่วมด้วยช่วยกันทุกงาน) งานหลักของผม คือ การวางแผนและมอบหมาย ติดตามและให้กำลังใจ และกล่าวเปิดงานปิดงาน อะไรประมาณนี้ ซึ่งภาระงานโดยรวมหนักกว่าโรงเรียนเดิมหลายเท่า เพราะนอกจากจะปฏิบัติหน้าที่ที่โรงเรียนอย่างปกติ ตลอด 24 ชั่วโมงแล้ว ส่วนใหญ่จะมีภารกิจของกลุ่มโรงเรียนให้เข้าร่วมทุกเดือน (เดิม หนึ่งเดือนเข้า กทม. 1 ครั้ง ก็มีความสุข แต่ที่นี่ ได้อยู่โรงเรียนติดต่อกัน 1 อาทิตย์ ถือว่าโชคดีมาก ๆ)

ในช่วงสามเดือนแรก ผมเสียเวลาไปกับเรื่องราวที่ไม่ได้รับการอำนวยความสะดวกเท่าที่ควรกับภารกิจต่อเนื่องจากโรงเรียนเดิม ที่หลายคนที่ผมมีความรักความปรารถนาดี มีท่าทีเปลี่ยนไปอย่างยิ่ง แต่ก็เป็นบทเรียนให้กับผมและการทำงานของผมว่า “ใครทำผิด ให้ปลดออกจากตำแหน่งเลย เพราะมันไม่สำนึกหรอกว่า เราช่วยมันขนาดไหน” และ “ทำหน้าที่ เพื่อหน้าที่ … พอใจกันก็เป็นเพื่อนกันได้ ไม่ถูกจริตกันก็ช่างหัวมัน” และขณะเดียวกันก็ใช้เวลาช่วงนี้เรียนรู้ “ทีมงานที่ใหม่” แต่ก็ยอมรับว่า ระบบที่ถูกวางไว้มีปัญหากับทิศทางการทำงานของผม  รอบ 1 ปีนี้ จึงใช้เวลาไปกับการเจราจา การพูดคุย งานที่ควรจะเกิดแต่ละอย่าง จึงเกิดช้ามาก “ไม่ทันใจ” ของผมเลย แต่ก็มีความก้าวหน้าตามลำดับ จึงค่อยๆ ต่อจิ๊กซอว์ทีละตัว และคงต้องใช้เวลาปรับจูนกันอีกต่อไป

ใน 1 ปีที่ผ่านมา เกิดเรื่องที่เป็นครั้งแรกและต้องขอบันทึกไว้ เช่น การมีการพูดกันว่า “….จะจ้างนักเรียนหัวละ 1000 บาท มาเดินขบวนไล่ผม” ซึ่งไม่ว่าความคิดนี้มาจากใคร ถือว่า อำมหิตและไร้เกียรติที่สุด (เพราะตอนนั้น กูยังไม่รู้ว่า กูไปทำอะไรมึง) และต่อมาก็มีคนเหมือนส่งสัญญาณยอมรับให้ได้ยินว่า “พูดเล่น” แต่ก็เป็นเหตุให้ผม เริ่มมีมุมมองที่เปลี่ยนไป และเลวร้ายที่สุดคือ การปล่อยข่าวและปั่นกระแสขณะผมไปราชการที่ประเทศรัสเซีย เรื่อง การออกระเบียบการแต่งกายและการไว้ทรงผมของนักเรียน (ซึ่งไม่มีการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด) ผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ ทั้งในกลุ่มนักเรียนและผู้ปกครองนักเรียน โดยมุ่งเป้าโจมตีมาที่ผมโดยตรง แต่ก็โชคดีที่ยังมีนักเรียนและสายข่าวที่นิยมในตัวของผม ให้ข้อมูลและสื่อสารอย่างทันท่วงที จนระงับยับยั้งไป ผมไม่แน่ใจว่า เป็นใคร แต่ข้อความบางข้อความ เป็นข้อความที่คนไม่กี่คนรับทราบ (ผมเป็นเจ้าพ่อในวงการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์ ซึ่งเด็กนักเรียนไม่มีวันรู้เรื่องนี้แน่นอน)

ผมมีครูที่มีใจมาทำงานสนองนโยบายใหม่บางอย่าง แต่คนเหล่านี้ ถึงจุดหนึ่งจะมากล่าวกับผมว่า เขาถูกห้ามไม่ให้ฝักใฝ่ในตัวผู้อำนวยการโรงเรียน และการทำงานให้ท่าน ผอ. ทำให้ตัวเขาได้รับความเดือดร้อน นอกจากนี้ ผมมักถูกผู้ใหญ่ที่ส่วนกลางเรียกปรับทัศนคติ กับเรื่องประเภท “ขี้หมูราขี้หมาแห้ง” มาก ๆ (มีคนที่ปิดตาปิดใจมองไม่เห็นว่าองค์กรตัวเองดีขึ้น และขี้ฟ้องสุดๆ) ซึ่งสองโรงเรียนที่ผ่านมา ผู้บังคับบัญชาผม ให้อิสระและไม่เคยตำหนิอะไรผมเลย แต่มีผลงานมีความก้าวหน้าแบบก้าวกระโดดอวดเจ้านายตลอด ผมยังไม่เคยได้ยินคำชมจากความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นที่เกิดขึ้นจากใคร นอกจากผู้ปกครองนักเรียนไม่มากนัก ที่แชทและสื่อสารมาชื่นชม ขอบคุณและให้กำลังใจ ซึ่งนี่คือสิ่งที่สำคัญและเป็นกำลังใจในการทำงานของผมอย่างยิ่ง

ผมตั้งใจว่า อย่างน้อยคงใช้เวลากับการทำงานที่นี่สัก 5 ปี (จนถึงอายุ 48) ซึ่งเป็นเวลาที่การทำงานหนักน่าจะผลิดอกออกผลให้เห็นความสำเร็จตามวิสัยทัศน์ส่วนตัว อุดมการณ์และปรัชญาของโรงเรียน และเป็นเวลาที่จะได้ใกล้ชิดและดูแลลูกชายทั้งสองคนที่เรียนที่นี่ด้วย (1) ทำโรงเรียนให้มีมาตรฐานสมศักดิ์ศรี เกรดพรีเมี่ยม ทั้งนักเรียน ครูและ ผอ. และผมจะภาคภูมิใจกับสถาบันแห่งนี้ตลอดไป (2) ผมจะขอมีวิทยฐานะเชี่ยวชาญ (3) มีโครงสร้างพื้นฐานของครอบครัวและวางแผนเกษียณ เมื่อภารกิจทั้ง 3 ประการบริบูรณ์ ก็คงจะได้ขยับขยายกันต่อไป ซึ่งในความเป็นจริง 1 ปีมานี้ก็รู้สึกไม่ลำบากอะไร แม้จะห่างบ้านนิดหน่อย แต่สามารถเดินทางถึงบ้านดูแลพ่อแม่ได้ภายใน 90 นาที

มาถึงจุดนี้ ผมยังยืนยันข้อดีและความตั้งใจของการเข้ามาเป็นผู้บริหารโรงเรียนว่า ตอนผมเป็นครู ผมทำงานเพื่อเด็กเพียงลำพังคนเดียว หรืออาจมีคนอื่นช่วยบ้างอีก 1-2 คน แต่การเป็นผู้บริหาร จะมีครู (ที่รักและศรัทธาในวิชาชีพครู) ช่วยผมทำงานเพื่อเด็กได้หลายคน หลายกลุ่มเป้าหมาย ทั้งดนตรี กีฬา ศิลปะ และวิชาการ และถ้าถามว่ามีความสุขไหม … ก็คิดว่ามีความสุข ที่ได้ทำอะไรใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ ในโรงเรียนที่รู้สึกว่า “ตรงกับความมุ่งหมายที่ต้องการพัฒนาและส่งเสริมนักเรียนที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ ถ้าทำให้ดีขึ้นในระดับที่พึงพอใจไม่ได้ ก็ไม่คู่ควรกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้” และถ้าสิ่งที่ทำตอบโจทย์ความต้องการในชีวิตของตนเองอยู่บ้าง ตราบเท่าที่ยังไม่บรรลุความตั้งใจที่มี ระหว่างการเดินทางก็มีความสุขครับ โดยพยายามสร้างสมดุลทุกส่วนให้ก้าวไปพร้อมกันอย่างดีที่สุด ทั้งความก้าวหน้าในงาน สุขภาพกายใจ ฐานะทางเศรษฐกิจ การศึกษาของลูกและความสุขของคนในครอบครัว

ช่วงหกเดือนแรก ผมรู้สึกว่า ตัวเองอาจจะไม่เหมาะกับโรงเรียนแห่งนี้ เพราะการอบรมนักเรียนเหมือนเป็นยาขมของครู ที่ ผอ. ต้องกลืนกินเอง การขับเคลื่อนงานให้รวดเร็วมันยากอะไรนักหนา การพร้อมที่จะปะทะทั้งต่อหน้าและลับหลังของเพื่อนร่วมงาน และอะไรอีกจิปาถะ ทั้งข้างล่างข้างบน แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ขึ้น และด้วยแรงใจจากเด็กบางคน จากผู้ปกครองบางท่าน และการพูดสื่อสารบ่อยๆ ทำให้ทุกอย่างอยู่กับร่อยกับรอยกว่าวันที่ผมเข้ามา ผมจึงได้คิดว่า การอยู่ที่นี่ของผม คือ สิ่งที่เหมาะสมแล้ว 

ท้ายที่สุด และด้วยประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้น ผมก็ไม่ใส่ใจหรอกว่า เพื่อนร่วมงานของผมนั้นคิดกับผมอย่างไร เพราะเราก็ทำงานตามบทบาทและหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุด ตามอุดมการณ์และวิธีคิดของเรา สิ่งที่จะได้รับก็คือ win-win-win คือ ทุกคนชนะ ทุกคนสำเร็จ เด็กก้าวหน้า ครูก้าวหน้า ผอ.ก็ก้าวหน้า ถ้าผิดจากนี้ แสดงว่า ไม่ใครก็ใครกำลังสร้างปัญหาให้กับระบบ คนที่เคยศรัทธาอาจจะหมดศรัทธา คนที่ไม่รักอาจจะรักและสนับสนุนกันได้ และหวังว่าปีที่ 2 ของผม จะมีความสุขและความสำเร็จของความเป็น Science High School มากกว่าวันที่ผ่านมา

คลิก >> [ผลงานนักเรียน ครู ผู้บริหารโรงเรียน ในรอบ 1 ปี]

คลิก >> [สรุปการไปราชการและปฏิบัติราชการ ผอ.โรงเรียน ปีการศึกษา 2565]

อย่าลืมให้กำลังใจและติดตามกันต่อไปครับ



Leave a Comment